ในยุคเศรษฐกิจปี 2568 ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินกลายเป็นทางรอดสำคัญของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อ SME แต่ปัญหาที่พบมากที่สุดคือ “ยื่นกู้ไม่ผ่าน” ซึ่งกลายเป็นคำถามยอดฮิตบน Google ว่า กู้ไม่ผ่าน ทำยังไงให้ผ่าน 2568 เพราะหลายคนมีรายได้จริงแต่กลับถูกปฏิเสธจากธนาคารโดยไม่รู้สาเหตุ
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจว่า “ทำไมธนาคารถึงไม่อนุมัติสินเชื่อ” และ “ควรปรับตัวอย่างไรให้กู้ผ่านในปี 2568” พร้อมแนะนำแนวทางและวิธีเพิ่มเครดิตทางการเงินให้คุณกลับมามีสิทธิ์กู้ได้อีกครั้งอย่างมั่นใจ
ทำไมยื่นกู้ไม่ผ่าน
สาเหตุหลักของการ “กู้ไม่ผ่าน” มักมาจากการประเมินความเสี่ยงของธนาคาร ซึ่งจะพิจารณาหลายปัจจัย เช่น
-
รายได้ไม่สอดคล้องกับภาระหนี้ – ถ้ารายรับต่อเดือนต่ำกว่าภาระที่ต้องจ่าย (เช่น บัตรเครดิต ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน) ธนาคารจะมองว่าคุณเสี่ยงเป็นหนี้เสีย
-
ติดเครดิตบูโรหรือแบล็กลิส – ประวัติชำระหนี้ล่าช้า หรือติดค้างหนี้เกิน 90 วัน จะทำให้ระบบเครดิตบูโรบันทึกไว้ และธนาคารส่วนใหญ่จะไม่อนุมัติ
-
ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ – โดยเฉพาะอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสลิปเงินเดือน ทำให้ธนาคารไม่เห็นความมั่นคงทางการเงิน
-
รายได้ไม่สม่ำเสมอ – สำหรับผู้ค้าขายหรืออาชีพอิสระ หากรายได้ไม่คงที่หรือเข้าออกบัญชีไม่ต่อเนื่อง ธนาคารจะมองว่าเสี่ยงต่อการผิดนัด
-
ภาระหนี้เกิน 40% ของรายได้ – ธนาคารจะคำนวณจาก “อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้” (Debt Service Ratio: DSR) ซึ่งหากเกินเกณฑ์จะไม่ผ่านการพิจารณา
ปี 2568 ธนาคารเข้มงวดมากขึ้น
ในปี 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการควบคุมหนี้ครัวเรือนเข้มงวดกว่าเดิม เพื่อป้องกันหนี้เสียในระบบ ส่งผลให้ธนาคารต้องตรวจสอบเครดิตบูโร รายได้ และพฤติกรรมทางการเงินอย่างละเอียด
นอกจากนี้ ระบบอนุมัติสินเชื่อหลายแห่งได้ใช้ “AI Credit Scoring” ซึ่งจะประเมินจากพฤติกรรมทางการเงินจริง เช่น การใช้จ่ายผ่านบัญชีธนาคาร การชำระบิลออนไลน์ หรือการโอนเงินในแต่ละเดือน ทำให้ผู้กู้ต้องมีวินัยทางการเงินมากขึ้น หากเคยชำระหนี้ล่าช้าแม้เพียงไม่กี่งวดก็อาจถูกปฏิเสธได้ทันที
วิธีเพิ่มโอกาสให้กู้ผ่านในปี 2568
หากคุณเคย “กู้ไม่ผ่าน” ไม่จำเป็นต้องท้อ เพราะยังมีหลายวิธีที่สามารถปรับตัวและกลับมามีโอกาสกู้ได้อีกครั้งในปีนี้
1. ตรวจเครดิตบูโรให้ชัดก่อนยื่นกู้
ขั้นแรกคือเช็กเครดิตบูโรของตัวเองผ่านเว็บไซต์ www.ncb.co.th หรือแอป “เครดิตบูโร” เพื่อดูว่ามีหนี้ค้างหรือประวัติผิดนัดหรือไม่ หากพบว่ามี ให้รีบชำระปิดบัญชีและรอประมาณ 6–12 เดือน ก่อนยื่นกู้ใหม่
2. เคลียร์หนี้ที่ค้างให้หมด
การมีหนี้บัตรเครดิตหลายใบ หรือยอดค้างชำระแม้เพียงเล็กน้อย จะลดคะแนนเครดิตทันที ควรทยอยปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น บัตรเครดิต และพยายามชำระตรงเวลาทุกเดือนเพื่อฟื้นความน่าเชื่อถือ
3. แสดงรายได้ให้ชัดเจน
สำหรับอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ควรมีบัญชีธนาคารที่ใช้รับรายได้โดยเฉพาะ และเก็บรายการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันรายได้ในการยื่นกู้
4. รักษาอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ให้อยู่ในเกณฑ์
โดยทั่วไปธนาคารจะพิจารณาไม่ให้ภาระหนี้เกิน 40% ของรายได้ เช่น หากคุณมีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ควรมียอดผ่อนไม่เกิน 8,000 บาท
5. มีเงินเก็บหรือสินทรัพย์ค้ำประกัน
การมีเงินออมในบัญชีหรือทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ บ้าน หรือที่ดิน สามารถใช้ค้ำประกันหรือแสดงความมั่นคงทางการเงินได้ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการพิจารณาสินเชื่อ
ทางเลือกหากกู้ธนาคารไม่ผ่าน
หากพยายามแล้วยังไม่ได้รับอนุมัติจากธนาคาร ยังมี “สินเชื่อทางเลือก” ที่ถูกกฎหมายและเหมาะกับผู้ที่เคยมีประวัติบูโร เช่น
-
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ – วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับคนติดแบล็คลิส ไม่เช็คบูโร สมัครได้ทั่วประเทศ
-
สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ – สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน
-
สินเชื่อผ่านแอปถูกกฎหมาย เช่น FINNIX, Hahi Money, Flash Money, เงินทันเด้อ ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
สินเชื่อเหล่านี้แม้จะดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคาร แต่ก็ปลอดภัยกว่าการพึ่งเงินกู้นอกระบบ และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างเครดิตใหม่
กู้ไม่ผ่านแต่ยังมีหวัง
หลายคนคิดว่าติดแบล็คลิสหรือกู้ไม่ผ่านจะไม่มีโอกาสอีก แต่ความจริงคือระบบการเงินในปี 2568 เปิดกว้างมากขึ้น หากคุณมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้นในช่วง 6 เดือน ธนาคารจะพิจารณาใหม่ และบางแห่งมีผลิตภัณฑ์ “สินเชื่อฟื้นเครดิต” ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่เคยผิดพลาดทางการเงิน
นอกจากนี้ยังมี “โปรแกรมปรับโครงสร้างหนี้” จากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ช่วยให้ลูกหนี้สามารถเจรจาปรับลดดอกเบี้ย หรือยืดระยะเวลาผ่อน เพื่อให้กลับมามีสภาพคล่องก่อนยื่นกู้ใหม่
เคล็ดลับเล็ก ๆ ก่อนยื่นกู้
-
ตรวจสอบเอกสารให้ครบ – เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองรายได้ บัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน
-
ไม่ยื่นหลายที่พร้อมกัน – การยื่นสินเชื่อหลายแห่งในเวลาเดียวกันอาจทำให้ระบบเครดิตมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูง
-
อย่าปลอมเอกสารหรือรายได้ – ธนาคารสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ และอาจส่งผลเสียต่อเครดิตในอนาคต
-
เลือกสินเชื่อให้เหมาะกับตัวเอง – หากรายได้ไม่สูง ควรเลือกสินเชื่อขนาดเล็ก เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
สรุป: กู้ไม่ผ่าน ทำยังไงให้ผ่าน 2568
การ กู้ไม่ผ่าน ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีโอกาสอีกต่อไป เพราะในปี 2568 ระบบการเงินไทยเปิดกว้างให้ผู้มีรายได้หลากหลายมากขึ้น ทั้งมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ และอาชีพอิสระ หากคุณเริ่มจากการจัดการหนี้เดิม ปรับพฤติกรรมการชำระเงินให้ตรงเวลา และสร้างประวัติการเงินที่ดีขึ้น ธนาคารหรือบริษัทสินเชื่อก็พร้อมจะให้โอกาสอีกครั้ง
สิ่งสำคัญคืออย่าท้อและอย่ารีบกู้กับแหล่งเงินนอกระบบ เพราะดอกเบี้ยสูงและเสี่ยงต่อปัญหาทางกฎหมาย ควรเลือกสินเชื่อถูกกฎหมาย เช่น พิโกไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
ถาม-ตอบ: กู้ไม่ผ่าน ทำยังไงให้ผ่าน 2568
ถาม: ทำไมธนาคารถึงไม่อนุมัติสินเชื่อ
ตอบ: ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ไม่พอ ภาระหนี้สูง หรือประวัติชำระหนี้ไม่ดีในเครดิตบูโร
ถาม: ถ้าเคยติดแบล็คลิส กู้ได้ไหม
ตอบ: ได้ หากปิดหนี้เดิมครบแล้ว และรอให้ระบบอัปเดตข้อมูลในเครดิตบูโรอย่างน้อย 6 เดือน
ถาม: อาชีพอิสระไม่มีสลิปเงินเดือน จะกู้ได้ไหม
ตอบ: ได้ หากมีรายการเดินบัญชีธนาคารที่แสดงรายได้ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป
ถาม: สมัครสินเชื่อที่ไม่เช็คบูโรได้ไหม
ตอบ: ได้ เช่น สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อดิจิทัลอย่าง FINNIX และเงินทันเด้อ ซึ่งถูกกฎหมายและไม่เช็คเครดิตบูโร
ถาม: ต้องรอนานไหมหลังปิดหนี้ ถึงจะกู้ใหม่ได้
ตอบ: โดยทั่วไปเครดิตบูโรจะอัปเดตข้อมูลทุก 30 วัน หลังจากปิดหนี้ครบ ควรรออย่างน้อย 6 เดือนเพื่อให้คะแนนเครดิตดีขึ้นก่อนยื่นใหม่
ถาม: ถ้ากู้ไม่ผ่านหลายครั้ง จะมีผลต่ออนาคตไหม
ตอบ: มี เพราะระบบจะบันทึกประวัติการยื่นกู้ไว้ในเครดิตบูโร หากยื่นบ่อยเกินไปในเวลาสั้น ๆ ธนาคารจะมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูง
ในปี 2568 การกู้เงินไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเดิม แต่ต้องอาศัย “วินัยทางการเงิน” และ “การเตรียมตัวที่ดี” เพราะธนาคารให้ความสำคัญกับพฤติกรรมมากกว่ารายได้เพียงอย่างเดียว หากคุณเริ่มจัดการหนี้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะติดแบล็คลิสหรือเคยพลาดในอดีต โอกาสอนุมัติสินเชื่อก็อยู่ใกล้กว่าที่คิดแน่นอน