ในยุคที่การเข้าถึงสินเชื่อ การขออนุมัติบัตรเครดิต หรือแม้แต่การเช่าซื้อรถยนต์ ล้วนมี “เครดิตบูโร” หรือชื่อเต็มว่า บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB) เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง คำว่า “ติดบูโร” จึงกลายเป็นคำที่หลายคนได้ยินบ่อยขึ้นในบทสนทนาเกี่ยวกับการเงิน แต่แท้จริงแล้วมันหมายถึงอะไร และเราจะเช็คได้อย่างไรว่าตัวเองมีสถานะเครดิตอย่างไรกับบูโร?
บทความนี้จะพาผู้อ่านเข้าใจทุกขั้นตอนของการตรวจสอบเครดิตบูโร ตั้งแต่วิธีการเช็ค สิ่งที่รายงานบอกเรา ไปจนถึงคำถาม-คำตอบยอดฮิต พร้อมแนวทางจัดการหากพบว่าตัวเอง “ติดบูโร” โดยไม่ต้องเสียเงินให้กับคนกลางหรือกลุ่มหลอกลวง
1. เครดิตบูโรคืออะไร และ “ติดบูโร” หมายถึงอะไร
เครดิตบูโร หรือบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลการเงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ ฯลฯ โดยรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติการชำระเงิน จำนวนหนี้ การผิดนัดชำระ และสถานะสินเชื่อปัจจุบัน
คำว่า “ติดบูโร” เป็นคำที่ประชาชนทั่วไปใช้เรียกผู้ที่มีประวัติการค้างชำระหนี้หรือผิดนัดชำระที่ส่งผลกระทบต่อคะแนนเครดิต ซึ่งอาจทำให้ธนาคารปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อในอนาคต
ข้อเท็จจริง:
-
เครดิตบูโร ไม่ได้ให้คะแนน หรือ “เรตติ้ง” ใด ๆ แก่บุคคล
-
เครดิตบูโร ไม่ได้ตัดสิน ว่าคุณควรได้รับอนุมัติสินเชื่อหรือไม่
-
เครดิตบูโรทำหน้าที่เพียง รวบรวมและรายงานข้อมูล การชำระหนี้
2. เช็คเครดิตบูโรได้ที่ไหนบ้าง
เราสามารถเช็คเครดิตบูโรของตนเองได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้:
2.1 ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ธนาคาร
ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเปิดให้ผู้ใช้บริการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรผ่านแอปหรือเว็บไซต์ ได้แก่:
-
K PLUS (กสิกรไทย)
-
SCB EASY (ไทยพาณิชย์)
-
Krungthai NEXT (กรุงไทย)
-
MyMo (ออมสิน)
-
TTB Touch (ทีทีบี)
-
Krungsri Mobile App (กรุงศรี)
ขั้นตอนทั่วไป:
-
เข้าสู่ระบบแอปพลิเคชัน
-
เลือกเมนู “บริการอื่น” หรือ “บริการเสริม”
-
เลือก “ตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร”
-
กดยอมรับเงื่อนไข และยืนยันตัวตน
-
ชำระค่าธรรมเนียม (ประมาณ 150 บาท)
-
รอผลภายใน 1-3 วันทำการ
2.2 ตรวจสอบผ่านแอป “Me by TMB” หรือ “Xplore by Krungsri”
บางแอปจะออกแบบมาเพื่อการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินโดยเฉพาะ ทำให้สามารถดูภาพรวมเครดิตได้ง่ายขึ้น พร้อมคำแนะนำเบื้องต้น
2.3 ตรวจสอบผ่านเคาน์เตอร์เครดิตบูโร (NAC)
สถานที่ยอดนิยม ได้แก่:
-
อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก (อารีย์)
-
ธนาคารอาคารสงเคราะห์สำนักงานใหญ่
-
จุดบริการตามห้าง เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว, เดอะมอลล์บางกะปิ, ซีคอนบางแค
เพียงนำบัตรประชาชนตัวจริงไปแสดง และชำระค่าบริการ 100–150 บาท จะได้เอกสารรายงานเครดิตทันที
2.4 ขอรายงานทางไปรษณีย์หรือออนไลน์
-
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากเว็บไซต์เครดิตบูโร (www.ncb.co.th)
-
แนบสำเนาบัตรประชาชน พร้อมลายเซ็น
-
ชำระเงินโดยโอนผ่านธนาคาร
-
ส่งไปรษณีย์ไปยังที่อยู่บริษัท
รายงานจะส่งกลับมาภายใน 7–10 วันทำการ
3. รายงานเครดิตบูโรมีข้อมูลอะไรบ้าง
เมื่อคุณได้รับรายงาน จะพบข้อมูลสำคัญดังนี้:
-
ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ-นามสกุล, เลขบัตรประชาชน, วันเกิด
-
ข้อมูลสินเชื่อ: รายการสินเชื่อทุกบัญชีที่เคยเปิดไว้ เช่น สินเชื่อบุคคล, บัตรเครดิต, ผ่อนรถ ฯลฯ
-
ประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง 36 เดือน: ระบบจะแสดงสถานะการชำระแต่ละเดือน เช่น
-
000 = ปกติ
-
001 = ค้างชำระ 1 งวด
-
090 = ค้างชำระเกิน 3 งวด
-
-
บัญชีที่ปิดแล้ว: ยังคงแสดงอยู่ในระบบเป็นเวลา 3 ปี หลังปิดบัญชี
4. วิธีดูว่า “ติดบูโร” หรือไม่
ไม่มีคำว่า “ติด” หรือ “ไม่ติด” อย่างเป็นทางการในรายงาน แต่คุณสามารถพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้:
-
หากมีบัญชีที่มีรหัส 090 หรือ ค้างชำระต่อเนื่องเกิน 90 วัน แปลว่าคุณเคยหรือกำลังอยู่ในสถานะที่เสี่ยง
-
บัญชีที่ปิดไปแล้วแต่มีประวัติการค้างชำระมาก่อน จะยังแสดงอยู่ในรายงาน
-
การมีหลายบัญชีที่จ่ายล่าช้าเป็นประจำ แม้จะไม่ถึงขั้น “ผิดนัด” ก็อาจถูกพิจารณาในทางลบ
5. คำถามที่พบบ่อย
Q: เช็คเครดิตบูโรแล้วข้อมูลผิดต้องทำอย่างไร?
A: สามารถยื่นคำร้องแก้ไขได้ทันทีผ่านแอป หรือที่สำนักงานบูโร โดยแนบหลักฐาน เช่น สลิปชำระเงิน ใบปิดบัญชี
Q: เครดิตบูโรอัปเดตบ่อยแค่ไหน?
A: โดยปกติ สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลให้เครดิตบูโรทุกเดือน แต่การอัปเดตจะสะท้อนถึงระบบประมาณ 30 วันหลังจากการเปลี่ยนแปลง
Q: ถ้าชำระหนี้หมดแล้ว จะลบประวัติค้างชำระได้ไหม?
A: ไม่สามารถลบได้ แต่จะเปลี่ยนสถานะเป็น “ปิดบัญชี” และแสดงประวัติค้างชำระในอดีตต่อไปอีก 3 ปี
Q: ถ้ากู้ร่วมกับคนอื่นแล้วคนนั้นผิดนัด เราจะติดบูโรไหม?
A: ใช่ เพราะเครดิตบูโรจะแสดงชื่อผู้กู้ร่วมทุกคนในประวัติ
Q: มีคนโทรมาบอกว่าเคลียร์เครดิตบูโรได้ ควรเชื่อไหม?
A: อย่าเชื่อเด็ดขาด เครดิตบูโรไม่มีบริการเคลียร์ประวัติ คำแนะนำทางเดียวคือ “จ่ายหนี้ให้ครบและตรงเวลา”
6. หากพบว่าตัวเองมีปัญหาบูโร ควรทำอย่างไร
-
ตรวจสอบรายละเอียดหนี้ ว่าเป็นหนี้แท้จริงหรือไม่ บางกรณีอาจเกิดจากความผิดพลาด
-
เริ่มต้นจ่ายหนี้ ให้กับเจ้าหนี้เดิม แม้จะเป็นยอดค้างเก่าก็ตาม
-
ขอประนอมหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินเดิม เพื่อแสดงความรับผิดชอบ
-
เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ใบเสร็จ, เอกสารปิดบัญชี
-
ติดตามสถานะเครดิตอย่างสม่ำเสมอ ทุก 6 เดือน เพื่อดูว่าประวัติเริ่มดีขึ้นหรือไม่
-
อย่าหลงเชื่อกลุ่มหลอกลวง ที่อ้างว่าสามารถล้างเครดิตบูโรได้ เพราะไม่มีหน่วยงานไหนสามารถทำได้
7. ปิดท้าย: เครดิตบูโรไม่ใช่ผู้ร้าย หากเข้าใจและใช้ให้ถูกทาง
หลายคนกลัวการตรวจเครดิตบูโรเพราะคิดว่าจะพบ “ข่าวร้าย” หรือกลัวจะ “ติดแบล็กลิสต์” แต่ในความเป็นจริง การตรวจสอบเครดิตเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นประจำ ไม่ต่างจากการตรวจสุขภาพทางการเงิน
การเข้าใจว่าตัวเองอยู่จุดไหนในสายตาของสถาบันการเงิน ช่วยให้เราวางแผนการเงินได้อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการขอสินเชื่อ ซื้อบ้าน ผ่อนรถ หรือสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง
จำไว้ว่า “ไม่มีใครจัดการเครดิตของคุณได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง”