ในยุคที่การโอนเงินกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส การหลอกลวงก็กลายเป็นเรื่องง่ายไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบ “พัสดุปลอม”, “หลอกให้กู้เงิน”, “งานพาร์ตไทม์ผ่าน LINE”, “เว็บปลอมแฝงมัลแวร์” หรือแม้แต่การโทรแอบอ้างหน่วยงานรัฐ—ทั้งหมดนี้มักจบลงที่คำว่า “โอนเงินเข้าบัญชีปลายทาง” และผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากมารู้ตัวอีกที ก็ต่อเมื่อเงินหายไปจากบัญชีแล้ว
คำถามคือ เราจะเช็คบัญชีปลายทางได้ยังไงก่อนจะโอน? ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ วิธีเช็คบัญชีมิจฉาชีพ 2568 ออนไลน์ แบบอัปเดตล่าสุด ครอบคลุมเครื่องมือ เทคนิค วิธีสังเกต พร้อมแนวทางปฏิบัติเมื่อพบเจอความผิดปกติ
1. บัญชีมิจฉาชีพคืออะไร ทำไมต้องเช็คก่อนโอน?
บัญชีมิจฉาชีพ คือบัญชีที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใช้ในการรับเงินจากการหลอกลวงผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการขายของปลอม หลอกให้โอนเงินเพื่อแลกกับงาน โอนค่าธรรมเนียมกู้เงิน หรืออื่น ๆ โดยเจ้าของบัญชีอาจเป็นตัวหลอก หรือถูกขโมยบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีโดยไม่รู้ตัว
เหตุผลที่ต้องเช็คก่อนโอน:
- 
ลดโอกาสตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางการเงิน 
- 
ป้องกันเงินสูญโดยไม่มีทางเรียกคืน 
- 
ลดภาระของตำรวจและระบบยุติธรรมที่กำลังรับมือกับเคสที่ล้นเกิน 
2. วิธีเช็คบัญชีมิจฉาชีพ 2568 ออนไลน์ มีอะไรบ้าง?
2.1 ศูนย์ PCT ตำรวจสอบสวนกลาง (www.thaipoliceonline.com)
PCT (Police Cyber Taskforce) ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนตรวจสอบและแจ้งเบาะแสบัญชีต้องสงสัยผ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย
ขั้นตอน:
- 
เข้าเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com 
- 
ไปที่เมนู “ตรวจสอบบัญชี/เบอร์มิจฉาชีพ” 
- 
กรอกหมายเลขบัญชีธนาคารหรือเบอร์โทรศัพท์ 
- 
ระบบจะแจ้งว่ามีประวัติถูกแจ้งเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ 
จุดเด่น:
- 
ข้อมูลอัปเดตต่อเนื่องจากผู้ใช้งานและระบบของตำรวจ 
- 
ตรวจสอบได้ทันทีไม่เสียค่าใช้จ่าย 
2.2 เว็บไซต์ “blacklistseller” (www.blacklistseller.com)
หนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมของผู้ใช้ออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ค้าขายบน Facebook และ Marketplace
ขั้นตอน:
- 
เข้าหน้าเว็บไซต์ www.blacklistseller.com 
- 
พิมพ์หมายเลขบัญชี ชื่อ หรือเบอร์โทรศัพท์ในช่องค้นหา 
- 
ระบบจะแสดงรายการร้องเรียนย้อนหลัง พร้อมรายละเอียด เช่น - 
วันที่เกิดเหตุ 
- 
จำนวนเงิน 
- 
ชื่อเฟซบุ๊กหรือ LINE ของมิจฉาชีพ 
- 
หลักฐานประกอบ 
 
- 
จุดเด่น:
- 
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากการแจ้งเตือนของผู้ใช้ 
- 
มีระบบให้คะแนนความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อ/ผู้ขาย 
- 
ใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงได้จริงในกรณีร้องเรียน 
2.3 เช็คจาก “สายด่วน 1441” และ “แอปพลิเคชันคปภ.”
แม้ไม่ใช่ช่องทางโดยตรงสำหรับบัญชีมิจฉาชีพ แต่การโทรแจ้งหรือสอบถามผ่านสายด่วนเหล่านี้ช่วยให้คุณรู้ว่า:
- 
ข้อมูลที่ได้รับมา (เช่น เอกสารกรมธรรม์, หมายเรียกปลอม, การอ้างชื่อบริษัท) เป็นของจริงหรือไม่ 
- 
มีเคสร้องเรียนเกี่ยวกับบัญชีดังกล่าวหรือไม่ 
นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันของหน่วยงานรัฐอีกหลายแห่งที่เริ่มเปิดฟังก์ชัน “รายงานบัญชีผิดปกติ” เช่น
- 
ธปท. (Bank of Thailand) 
- 
ปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) 
2.4 ฟีเจอร์เช็คในแอปธนาคาร
ธนาคารหลายแห่งเริ่มนำ AI และฐานข้อมูลกลางมาใช้แจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้กำลังโอนเงินไปยังบัญชีที่เคยมีประวัติน่าสงสัย เช่น:
- 
“บัญชีนี้มีประวัติถูกรายงานว่าเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง” 
- 
“ชื่อบัญชีไม่ตรงกับที่คุณกรอกไว้” (ชื่อปลายทางไม่ขึ้น หรือขึ้นคนละชื่อ) 
แม้ไม่ใช่ระบบ 100% แต่ถือเป็นด่านกรองที่สำคัญ
3. ตัวอย่างสถานการณ์จริง: โดนหลอกโอนเงิน แต่รอดได้เพราะเช็คก่อน
กรณีศึกษา:
คุณพลอย นักศึกษาอายุ 22 ปี ถูกชักชวนผ่าน LINE ให้ทำงานพาร์ตไทม์ “เพิ่มยอดร้านค้า” โดยให้นำเงิน 1,500 บาทโอนเข้าบัญชีเพื่อทำรายการปลอม ก่อนจะได้รับเงินคืนพร้อมค่าคอม
คุณพลอยเกือบโอนแล้ว แต่ตัดสินใจลองเช็คชื่อบัญชีผ่านเว็บไซต์ Blacklistseller พบว่ามีผู้ร้องเรียนไว้แล้ว 6 ราย เป็นพฤติกรรมเดิมทุกครั้ง จึงรอดจากการสูญเสียเงินไปโดยไม่จำเป็น
4. แล้วถ้าเจอบัญชีต้องสงสัย ควรทำอย่างไร?
- 
อย่าโอนเงินทันที แม้ปลายทางจะส่งเอกสาร หรือโทรมากดดัน 
- 
แคปหน้าจอเก็บหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทร บัญชี ชื่อ LINE หรือ URL 
- 
แจ้งความออนไลน์ทันทีผ่าน thaipoliceonline.com 
- 
โทรสายด่วนธนาคารเจ้าของบัญชี เพื่อแจ้งระงับการใช้บัญชีดังกล่าว 
- 
แชร์ข้อมูลเตือนภัยต่อในโซเชียล เพื่อช่วยผู้อื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อซ้ำ 
5. ถ้าพลาดแล้ว โอนเงินไปให้มิจฉาชีพ จะทำยังไง?
หากตกเป็นเหยื่อแล้ว ยังพอมีแนวทางดังนี้:
- 
แจ้งความกับสถานีตำรวจในพื้นที่ทันที (ภายใน 24 ชั่วโมงยิ่งดี) 
- 
เตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบ เช่น สลิปโอน, แชต, เบอร์โทร, รูปโปรไฟล์ 
- 
ติดต่อธนาคารปลายทาง เพื่อขออายัดบัญชี 
- 
แจ้งผ่านเว็บไซต์หรือสายด่วนของ PCT เพื่อบันทึกเข้าสู่ระบบกลาง 
- 
ติดตามความคืบหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง แม้เงินจะได้คืนยาก แต่สามารถนำไปใช้ยื่นฟ้องแพ่งภายหลังได้ 
6. สังเกตพฤติกรรมกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ ปี 2568
รูปแบบใหม่ที่ควรระวัง:
- 
แอบอ้างหน่วยงานรัฐและธนาคารโทรหาผู้เสียหาย 
- 
ปลอม LINE ของเพื่อนหรือญาติให้มาขอยืมเงิน 
- 
ทำเพจขายของราคาถูกเกินจริงโดยใช้ชื่อบริษัทน่าเชื่อถือ 
- 
ทำเว็บปลอมเลียนแบบเว็บของจริง 100% (เช่นเว็บพัสดุ, ธนาคาร, สมัครงาน) 
สัญญาณเตือนล่วงหน้า:
- 
โอนก่อนส่งของ 
- 
ใช้บัญชีบุคคลแทนบัญชีบริษัท 
- 
เร่งรีบให้โอนเงินทันที 
- 
ใช้ถ้อยคำกดดัน เช่น “ถ้าไม่โอนตอนนี้ จะถูกฟ้อง/จะมีเจ้าหน้าที่มาหา” 
7. แนวทางการป้องกันในชีวิตประจำวัน
- 
อย่าเปิดบัญชีให้ผู้อื่นใช้งาน แม้จะมีค่าตอบแทน 
- 
อย่าให้ข้อมูลบัตรประชาชนผ่านออนไลน์ 
- 
เปิดระบบแจ้งเตือนธุรกรรมในแอปธนาคาร ทุกครั้ง 
- 
ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายาก และเปลี่ยนบ่อย 
- 
ตรวจสอบโปรไฟล์ผู้ขายทุกครั้งก่อนซื้อของออนไลน์ 
- 
หากไม่แน่ใจ ให้ตรวจเช็คชื่อบัญชีผ่านเครื่องมือออนไลน์ก่อนเสมอ 
ถาม-ตอบ: เช็คบัญชีมิจฉาชีพ 2568 ออนไลน์
Q: ถ้าเจอบัญชีที่น่าสงสัย อยากเช็คว่าเป็นบัญชีมิจฉาชีพหรือไม่ ต้องทำอย่างไร?
A:
สามารถตรวจสอบได้ทันทีผ่าน 2 ช่องทางหลักที่เชื่อถือได้:
- 
เว็บไซต์ตำรวจไซเบอร์: www.thaipoliceonline.com 
- 
ฐานข้อมูลผู้เสียหาย: www.blacklistseller.com 
เพียงกรอกเลขที่บัญชี เบอร์โทรศัพท์ หรือชื่อผู้รับเงิน ระบบจะแสดงข้อมูลว่ามีการแจ้งเตือนว่าเป็นบัญชีหลอกลวงหรือไม่
Q: หากระบบไม่ขึ้นว่ามีประวัติมิจฉาชีพ แปลว่าโอนได้ปลอดภัยแล้วใช่ไหม?
A:
ไม่เสมอไป บัญชีบางรายการอาจเพิ่งเปิดหรือยังไม่มีผู้แจ้ง รายชื่อในระบบอาจล่าช้าหรือยังไม่ครบ 100% ทางที่ดีควรสังเกตพฤติกรรมผู้รับเงินประกอบ เช่น:
- 
ชวนโอนเงินเร่งด่วน 
- 
ใช้บัญชีบุคคลแทนบัญชีบริษัท 
- 
ราคาสินค้าถูกเกินจริง 
- 
ปิดการขายไวผิดปกติ 
Q: ถ้าโอนไปแล้ว แล้วเพิ่งรู้ว่าเป็นบัญชีมิจฉาชีพ ควรทำอย่างไร?
A:
ให้รีบดำเนินการดังนี้:
- 
แจ้งความ ที่สถานีตำรวจ หรือผ่านออนไลน์เว็บไซต์ตำรวจไซเบอร์ 
- 
โทรแจ้งธนาคาร ปลายทางของบัญชีที่โอนไป เพื่อขอระงับบัญชี 
- 
รวบรวมหลักฐาน เช่น สลิปโอน, แชตสนทนา, โพสต์ขาย, เบอร์โทร ฯลฯ 
- 
แจ้งผ่านเว็บไซต์ PCT เพื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลกลางของตำรวจ 
ยิ่งดำเนินการเร็ว โอกาสในการระงับบัญชีและตามเงินคืนจะมากขึ้น
Q: เว็บไซต์ blacklistseller เชื่อถือได้แค่ไหน?
A:
เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้ซื้อขายออนไลน์ มีระบบแจ้งเตือนโดยผู้ใช้จริง มีประวัติคดีจริง และสามารถอ้างอิงได้เมื่อแจ้งความ แต่ไม่ใช่เว็บไซต์ของทางการรัฐ จึงควรใช้ร่วมกับข้อมูลจากเว็บไซต์ตำรวจ
Q: โอนเงินผิดไปยังบัญชีมิจฉาชีพ มีโอกาสได้เงินคืนไหม?
A:
มีความเป็นไปได้ แต่ไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับ:
- 
ความรวดเร็วในการแจ้งธนาคารและตำรวจ 
- 
ยอดเงินในบัญชีปลายทางยังไม่ถูกถอนออก 
- 
การดำเนินคดีที่สามารถระบุตัวคนร้ายได้ 
หากระบุตัวผู้กระทำผิดได้ อาจดำเนินการทางแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนภายหลัง
Q: มีแอปพลิเคชันอะไรที่ช่วยเช็คบัญชีหลอกลวงได้เร็วบ้าง?
A:
ปี 2568 มีหลายแอปที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้ เช่น:
- 
“Police 4.0” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
- 
แอปของธนาคารที่มีฟีเจอร์เตือนเมื่อโอนเงินเข้าบัญชีต้องสงสัย 
- 
แอปแจ้งเบาะแสของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) 
แต่ควรตรวจสอบว่าเป็นแอป “ของจริง” ไม่ใช่แอปปลอมก่อนดาวน์โหลด
Q: ถ้ามิจฉาชีพใช้บัญชีผู้อื่นที่ถูกขโมยบัตรประชาชนไปเปิด จะเช็คได้ไหม?
A:
เช็คได้เฉพาะ เลขบัญชีปลายทาง ว่ามีผู้แจ้งเป็นบัญชีหลอกลวงหรือไม่ แต่ไม่สามารถระบุตัวว่าเจ้าของบัญชีมีส่วนร่วมจริงหรือเป็นเหยื่อของการแอบอ้าง ทางตำรวจจะเป็นผู้ตรวจสอบต่อในการสืบสวน
Q: รายงานบัญชีมิจฉาชีพเข้าระบบแล้ว ต้องแจ้งความอีกไหม?
A:
ควรแจ้งความที่สถานีตำรวจหรือแจ้งผ่านระบบออนไลน์ของ PCT เพื่อให้ข้อมูลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ หากปล่อยไว้เฉย ๆ ข้อมูลของคุณจะไม่ถูกนำไปใช้ดำเนินคดี
Q: ถ้าเจอเพจขายของดูดีแต่ให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว ต้องระวังไหม?
A:
ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะบัญชีที่ให้โอนเงินควรเป็น บัญชีบริษัท หรือ บัญชีชื่อตรงกับเจ้าของเพจที่มีตัวตนชัดเจน หากใช้บัญชีบุคคลทั่วไปให้ลองเช็คก่อนโอน หรือเปลี่ยนไปใช้บริการที่มีระบบเก็บเงินปลายทาง หรือช่องทางที่มีการคุ้มครองผู้ซื้อ
 
                    